ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Drawing Conclusions: Inductive Reasoning and Deductive Reasoning.




การให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive Reasoning)

           การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นวิธีการสรุปผลมาจากการค้นหาความจริงจากการสังเกตหรือการทดลองหลายครั้งจากกรณีย่อยๆ แล้วนำมาสรุปเป็นความรู้แบบทั่วไป

           การหาข้อสรุปหรือความจริงโดยใช้วิธีการให้เหตุผลแบบอุปนัยนั้นไม่จำเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง เนื่องจากการให้เหตุผลแบบอุปนัยเป็นการสรุปผลเกิดจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ดังนั้นข้อสรุปจะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูล  หลักฐานและข้อเท็จจริงที่นำมาอ้างซึ่งได้แก่ 

     1. จำนวนข้อมูล หลักฐานหรือข้อเท็จจริงที่นำมาเป็นข้อสังเกตหรือข้ออ้างมีมากพอกับการสรุปความหรือไม่ เช่น ถ้าไปทานส้มตำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแล้วท้องเสีย แล้วสรุปว่า ส้มตำนั้นทำให้ท้องเสีย การสรุปเหตุการณ์นั้นอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ย่อมเชื่อถือได้น้อยกว่าการที่ไปรับประทานส้มตำบ่อยๆแล้วท้องเสียเกือบทุกครั้ง

     2. ข้อมูล หลักฐานหรือข้อเท็จจริง เป็นตัวแทนที่ดีในการให้ข้อสรุปหรือไม่ เช่น ถ้าอยากรู้ว่าคนไทยชอบกินข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวมากกว่ากัน   ถ้าถามจากคนที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือหรือภาค-อีสาน คำตอบที่ตอบว่าชอบกินข้าวเหนียวอาจจะมีมากกว่าชอบกินข้าวจ้าว แต่ถ้าถามคนที่อาศัยอยู่ในภาคกลางหรือภาคใต้ คำตอบอาจจะเป็นในลักษณะตรงกันข้าม

ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัย

  • ตัวอย่างที่ 1  จงหาว่า ผลคูณของจำนวนนับสองจำนวนที่เป็นจำนวนคี่ จะเป็นจำนวนคู่หรือจำนวนคี่ โดยการให้เหตุผลแบบอุปนัย

                  วิธีทำ: เราจะลองหาผลคูณของจำนวนนับที่เป็นจำนวนคี่หลาย ๆ จำนวนดังนี้

         1 × 3 = 3     3 × 5 = 15     5 × 7 = 35    7 × 9   = 63

         1 × 5 = 5     3 × 7 = 21     5 × 9 = 45    7 × 11 = 77

         1 × 7 = 7     3 × 9 = 27     5 × 11 = 55   7 × 13 = 91 

         1 × 9 = 9     3 × 11 = 33   5 × 13 = 65   7 × 15 = 105

  จากการหาผลคูณดังกล่าว โดยการอุปนัย จะพบว่า ผลคูณที่ได้เป็นจำนวนคี่

สรุป ผลคูณของจำนวนนับสองจำนวนที่เป็นจำนวนคี่ จะเป็นจำนวนคี่ โดยการให้เหตุผลแบบอุปนัย


การให้เหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning)

การให้เหตุผลแบบนิรนัยเป็นการนำความรู้พื้นฐานซึ่งอาจเป็นความเชื่อ ข้อตกลง กฎ หรือบทนิยาม ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้มาก่อน และยอมรับว่าเป็นความจริงเพื่อหาเหตุผลนำไปสู่ข้อสรุป เป็นการอ้างเหตุผลที่มีข้อสรุปตามเนื้อหาสาระที่อยู่ภายในขอบเขตของข้ออ้างที่กำหนด

ตัวอย่างที่ 1      เหตุ   1.สัตว์เลี้ยงทุกตัวเป็นสัตว์ไม่ดุร้าย

                                        2. แมวทุกตัวเป็นสัตว์เลี้ยง

                         ผล     แมวทุกตัวเป็นสัตว์ไม่ดุร้าย

            

 ตัวอย่างที่ 2     เหตุ   1. นักเรียน ม.4ทุกคนแต่งกายถูกระเบียบ

                                         2.  สมชายเป็นนักเรียนชั้น ม.4

                         ผล     สมชายแต่งกายถูกระเบียบ

 

ตัวอย่างที่ 3       เหตุ   1.วันที่มีฝนตกทั้งวันจะมีท้องฟ้ามืดครึ้มทุกวัน

                                        2. วันนี้ท้องฟ้ามืดครึ้ม

                          ผล     วันนี้ฝนตกทั้งวัน

        จากตัวอย่างจะเห็นว่าการยอมรับความรู้พื้นฐานหรือความจริงบางอย่างก่อน แล้วหาสิ่งข้อสรุปจากสิ่งที่ยอมรับแล้วนั้น จะเรียกว่าผล การสรุปผลจะถูกต้องก็ต่อเมื่อเป็นการสรุปได้อย่างสมเหตุสมผล

ตัวอย่างที่ 4      เหตุ     1. เรือทุกลำลอยน้ำได้

                                        2. ถังน้ำลอยน้ำได้

                          ผล     ถังน้ำเป็นเรือ

          การสรุปผลข้างต้นไม่สมเหตุสมผล แม้ว่าข้ออ้างหรือเหตุทั้งสองจะเป็น แต่การที่เราทราบว่าเรือทุกลำลอยน้ำได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งอื่นๆที่ลอยน้ำได้จะเป็นเรือเสมอไป ข้อสรุปข้างต้นเป็นการสรุปที่ไม่สมเหตุสมผลหลักเกณฑ์และวิธีการอ้างเหตุผลแบบนิรนัย เรียกว่า ตรรกศาสตร์นิรนัย ซึ่งสิ่งที่สำคัญในการให้เหตุผลแบบนิรนัย คือ ตรรกบท (Syllogism) ตรรกบทหนึ่งๆ จะประกอบด้วยข้อความ 3 ข้อความ โดยที่ 2 ข้อความแรกเป็นข้อตั้ง และอีกข้อความหนึ่งเป็นข้อยุติ

                ตรรกบท 1 ตรรกบท คือ การอ้างเหตุผลที่ประกอบด้วยพจน์ 3 พจน์ โดยมีพจน์ 2 พจน์ที่มีความสัมพันธ์กับพจน์ที่ 3 ในรูปของภาคประธาน หรือภาคแสดงต่อกันด้วย เช่น             

               เหตุ     1. สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นสัตว์เลือดอุ่น

                                   2. สุนัขเลี้ยงลูกด้วยนม

               ผล           สุนัขเป็นสัตว์เลือดอุ่น

            ในการให้เหตุผลแบบนิรนัย รวมถึงจากตัวอย่าง จะเห็นว่า การยอมรับความรู้พื้นฐานหรือความจริงบางอย่างก่อน แล้วหาข้อสรุปจากสิ่งที่ยอมรับ ซึ่งจะเรียกว่า ผลการสรุป ผลจะสรุปได้ถูกต้องก็ต่อเมื่อเป็นการสรุปได้อย่าง สมเหตุสมผล (Valid) เช่น              

                 เหตุ        1. หมูอวกาศทุกตัวบินได้

                               2. โน๊ตอุดมบินได้

                 ผล       โน๊ตอุดมเป็นหมูอวกาศ

           การสรุปในข้อนี้ไม่สมเหตุสมผล (Invalid) แม้ว่าข้ออ้างทั้งสองจะเป็นจริง แต่การที่เราทราบว่า หมูอวกาศบินได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งอื่นที่บินได้ต้องเป็นหมูอวกาศเสมอไป ข้อสรุปดังกล่าวจึงไม่สมเหตุสมผล สรุป การให้เหตุผลแบบนิรนัย ผลหรือข้อสรุปจะถูกต้องก็ต่อเมื่อ ยอมรับเหตุเป็นจริงทุกข้อ และการสรุปสมเหตุสมผล การตรวจสอบข้อความว่าสมเหตุสมผลนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ในที่นี้ จะนำเสนออยู่ 2 วิธี คือ การใช้แผนภาพเวนน์ – ออยเลอร์ในการตรวจสอบและการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างข้อความตรวจสอบ

แนวคิดการให้เหตุผลแบบนิรนัย

1. อาศัยหลักฐานจากความรู้เดิม

2. เริ่มต้นจากข้ออ้างซึ่งมีลักษณะทั่วไป (Universal) ไปสู่ข้อสรุปซึ่ง มีลักษณะเฉพาะ (particular)

3. ความน่าเชื่อถือของข้อสรุปอยู่ในขั้นความแน่นอน (Certainty)

4. ไม่ให้ความรู้ใหม่


ปล. สรุปเนื้อหาเรื่อง “Drawing Conclusions: Inductive Reasoning (การให้เหตุผลแบบอุปนัย) and Deductive Reasoning (การให้เหตุผลแบบนิรนัย)” เป็นการเขียนรายงาน (การบ้าน) ส่งคุณครูในขณะนั้น เราเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ พี่ๆ หรือน้องๆ ที่สนใจการเขียนประเภทนี้ จึงได้นำมาเผยแพร่ ผิดถูกอย่างไร คอมเม้น ติชมได้นะค่ะ ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

USA prenatal care & check up! ตั้งครรภ์ในอเมริกา ฝากครรภ์กี่เดือน ควรฝากตอนใหน?

การฝากครรภ์   คืออะไร ? การฝากครรภ์  (Prenatal care)  คือ การตรวจสุขภาพเป็นระยะ   ตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์จนกระทั่งถึงวันคลอด   โดยคุณหมอจะคอยตรวจความเรียบร้อยเกี่ยวกับสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ สิ่งที่คุณแม่ต้องได้รับการตรวจในช่วงการฝากครรภ์ มีดังนี้ ยืนยันการตั้งครรภ์   รวมถึงตรวจอายุครรภ์จากรอบประจำเดือนล่าสุด ซักประวัติ  คุณหมอ จะถามเรื่องทั่วไป   เช่น   เคยตั้งครรภ์มาก่อนไหม   มีโรคประจำตัวหรือเปล่า   ยาที่ใช้ประจำ   เป็นต้น ตรวจร่างกาย   แบ่งเป็นสองส่วนหลักๆ   ส่วนแรกคือตรวจทั่วไป   เช่น   วัดความดัน   ชั่งน้ำหนัก   ส่วนสูง   ตรวจการทำงานของปอด   อีกส่วนคือการตรวจภายใน   ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ   แต่สามารถเช็คความผิดปกติได้ทั้งรังไข่   ท่อนำรังไข่   ช่องคลอด   รวมถึงมะเร็งปากมดลูก   ที่สำคัญคือไม่เจ็บ ตรวจเลือด   เปรียบเสมือนการสกรีนร่างกาย   เพราะเลือดสามารถบอกค่าต่างๆ   ในร่างกายได้เป็นภาพกว้าง   เช่น  ไขมัน  เบาหวาน...

นิทานเรื่อง เพื่อนรักต่างพันธุ์ (A Special Friendship)

In a village, there was a boy named “Bob” who lived with his mother in a small house. Every day after class, Bob went into the forest to pick up woods with his mother. อิน อะ วิลเลจ, แธร์ วอส อะ บอย เนม-มึด “ป๊อบ” ฮู ลิฟ-ดึด วิธ ฮีส ม๊าเตอร์ อิน อะ สมอลล์ เฮาส์. เอฟเวอรี่ เดย์ อาฟเตอร์ คลาส, ป๊อบ เว็นท์ อินทู เดอะ ฟอเรสท์ ทู พิค อัฟ วูดส์ วิธ ฮิส ม๊าเตอร์. ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง, มีเด็กชายคนหนึ่ง เค้ามีชื่อว่า “ป๊อบ” เขาได้อาศัยอยู่กับมารดาในบ้านหลังน้อยๆ หลังหนึ่ง. ในทุกๆ วัน หลังจากเลิกเรียนแล้ว, ป๊อบมักจะเข้าไปในป่า เพื่อหาฟืนกับแม่ของเค้า. One day, on the way to the forest, Bob found a homeless puppy by the road. He looked so sad and miserable. Seeing how hungry the puppy was, Bob decided to bring him home to take care of him. วัน เดย์, ออน เดอะ เวย์ ทู เดอะ ฟอเรสท์, ป๊อบ ฟาวด์ อะ โฮมเลส พัพพี่ บาย เดอะ โรด. ฮี ลุ๊ค โซ แซด แอนด์ มิสราเบิ้ล. ซียิ้ง ฮาว ฮังกรี เดอะ พัพพี่ วอส, ป๊อบ ดีซาย-ดึด ทู บริง ฮิม โฮม ทู เทค แคร์ ออฟ ฮิม. อยู่มาวันนึง, ในระหว่างทางเดินเข้าไปในป่านั้น, ป๊อบได้เจอกั...

ชิลี่ (Classic Chili) อเมริกัน จานเผ็ด!

ชิลี่ (Chili) อาหารสุดคลาสสิคจานเผ็ดจานด่วนของชาวอเมริกัน  หรือเรียกเต็มๆ ยศว่า “อเมริกันชิลี่ (American Chili)”  “ชิลี่” (Chili) แปลง่ายๆ ตรงๆ ว่า "พริก" นี่แหละจร้าา ไม่ต้องโต๊ด!   “ชิลี่” เป็นอาหารจานหนึ่งของชาวอเมริกัน ที่มีรสเผ็ดนำ โดดเด่น เผ็ดดุ สำหรับฝรั่งเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่นับคนเอเชียอย่างเราๆ หึหึ เผ็ดอนุบาลยังเรียกน้องจ๊ะ! “ชิลี่” มีลักษณะคล้ายๆ กับ “น้ำพริกอ่อง” บ้านเรา ต่างกันตรงที่มี “เมล็ดถั่วแดง” เป็นส่วนผสม ต้มให้นุ่ม แต่ไม่เปื่อยยุ่ยมากนัก มีรสเผ็ดออกมันๆ อมเปรี้ยวนิดๆ โปรตีนเน้นๆ อ่ะ! เริ่มงงกันแล้วสิ ชิมิ ^^ “ชิลี่” นิยมทำเป็นอาหารมื้อค่ำ เพราะว่าสะดวก วัถตุดิบหาง่าย ทำง่าย ใช้เวลาตุ๋นไม่นาน “หัวหอมใหญ่” สิ่งเดียวเท่านั้นที่ต้องเตรียม! “ชิลี่” ท๊อปปิ้งสุดฮิต เพื่อเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น เชดดาร์ชีสขูดฝอย (shredded cheddar cheese) ซาวครีม/ครีมเปรี้ยว (sour cream) ต้นหอมซอย (sliced green onions) แครกเกอร์ชนิดเค็ม (saltine crackers) อะโวคาโดหั่นลูกเต๋า (diced avocado) หลังจากแกะสูตรจากพี่กลู (กลูเกิ้ล) ฝึกทำ “ชิลี่” ลองผิดลองถูกมาก็หลายครั้งหลายคราว จน...

นิทานเรื่อง “เจ้าหญิงบนยอดเขาแก้ว” (The Princess On The Glass hill)

Long, long time ago, there lived a farmer who had three sons and forty acres of fields. But every year on mid-summers, every last plant on his land was eaten. The farmer sent his three sons out to guard the field the next year. ลอง, ลอง ไทม์ อะโก, แธร์ ลิฟ-ดึด อะ ฟาร์มเมอ ฮู แฮด ตรี ซัน แอนด์ ฟอร์ตี้ เอเคอร์ ออฟ ฟิล์ด. บัท เอเวอรี่ เยียร์ ออน มิด-ซัมเมอร์, เอเวอรี่ ลาสท์ แพลนท์ ออน ฮีส แลนด์ วอส อีท-ทีน. เดอะ ฟาร์มเมอ เซนท์ ฮีส ตรี ซัน เอาซ์ ทู การ์ด เดอะ ฟิล์ด เดอะ เน็ทซ์ เยียร์. กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว, ชาวนาคนหนึ่ง เค้ามีลูกชายอยู่ด้วยกันสามคน และชาวนามีที่ทำกินสี่สิบเอเคอร์ (ประมาณร้อยกว่าไร่). แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางฤดูร้อนของทุกๆ ปี, ผลผลิตในไร่ของเค้าก็มักจะถูกทำลายเสียหายเรื่อยมา. ดังนั้น ชาวนาจึงได้ส่งลูกชายทั้งสามคนของเค้า ให้ออกไปเฝ้าดูแลผลผลิตในไร่. The oldest son, Barty, was very tall and very thin.  The middle son, Otis, was very fat and lazy.  That night he heard a scream and ran from the field. เดอะ โอลด์เดสท์ ซัน, บาร์ตี๊, วอส เวรี่ ทอล แอนด์ เวรี่ ธิน....

นิทานสองภาษาเรื่อง “เจ้าป่าจอมตะกละและกระต่ายป่าผู้ชาญฉลาด (The lion and the hare)

Once upon a time, there was a dense forest, where had lots of animals and birds living it. วันซ์ อัพพอน อะ ไทม์, แธร์ วอส อะ เดนส์ ฟอร์เรส, แวร์ แฮด ลอท ออฟ แอนนิมอล แอนด์ เบิร์ด ลิฟวิ่ง อิท. กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว, มีป่าหนาทึบอยู่แห่งหนึ่ง, ที่ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ป่าและนกต่างๆ นานาชนิด อาศัยอยู่ในนั้น. All the animals and birds lived in perfect harmony. No bigger animal or bird ever killed a smaller one for food. ออล เดอะ แอนนิมอล แอนด์ เบิร์ด ลิฟต์-ดึด อิน เพอเฟคท์ ฮาร์มโมนี่. โน บิ๊กเกอร์ แอนนิมอล ออร์ เบิร์ด เอฟเวอร์ คิว-ดึด อะ สมอลเลอร์ วัน ฟอร์ ฟู๊ด. เหล่าสัตว์ป่าและนกนานาชนิด ต่างอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างผาสุข. ไม่มีสัตว์ใหญ่นักล่าไล่ฆ่าสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นอาหารเลย หรือแม้กระทั่งพวกนกนักฆ่าเอง ก็ไม่ล่าอาหารเช่นกัน. However, there was one exception, and that was the king of the jungle- an evil lion. The lion hunted around the forest at all times and killed animals for food. ฮาวเอฟเวอร์, แธร์ วอส วัน เอ็กเซ็บชั่น, แอนด์ แธท วอส เดอะ คิง ออฟ เดอะ จังเกิ้ล- อัน อีวิ้ว ไลออน. เดอะ ไลออน ฮัน...